บทเรียนราคาแพงจากนักธุรกิจที่เคยพลาด
CREDIT: WWW.INQUITY.COM
CREDIT: WWW.INQUITY.COM
การฟังคนที่ประสบความสำเร็จเล่าให้เราฟังว่าเขาทำได้อย่างไรนั้นเป็นแรงบันดาลใจที่ดี ส่วนคนที่ “ประสบความล้มเหลว” ล่ะ เขาบอกอะไรเราได้บ้าง?
ไม่เลวเลยถ้าเรานึกดูดีๆ จะพบว่าคนที่ประสบความล้มเหลวมาก่อนก็เล่าอะไรให้เราฟังได้หลายอย่างเหมือนกัน หลายครั้งเป็นวิธีที่เขาเลือกใช้ผิด หลายครั้งเกิดจากทัศนคติที่ผิด และหลายครั้งเกิดจากความดื้อรั้นส่วนตัวที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเสียเอง สิ่งเหล่านี้เราอาจรวมเรียกก็ได้ว่ามันคืออุทาหรณ์สอนใจ
สำหรับคำแนะนำของเราในการอ่านตอนนี้ก็คือ “ถ้าคุณกำลังคิดสอดคล้องกับบทความนี้ละก็ ระวัง!”
จริงๆ มันดีไม่ใช่หรือที่จะเป็นคนมีความมั่นใจ? ใช่ เมื่อเราเป็นฟรีแล้นซ์ เมื่อเราทำงานคนเดียวหรือเมื่อบริษัทยังเป็นทีมเล็กๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น
จริงๆ มันดีไม่ใช่หรือที่จะเป็นคนมีความมั่นใจ? ใช่ เมื่อเราเป็นฟรีแล้นซ์ เมื่อเราทำงานคนเดียวหรือเมื่อบริษัทยังเป็นทีมเล็กๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น
ผู้ประกอบการที่ดีขณะวิ่งแข่งจะต้องเหลือบมองลู่ข้างๆ ไปด้วยเสมอ
แต่ถ้าพูดถึงระดับผู้ประกอบการแล้ว การอยู่กับข้อมูลและความเป็นจริง และการแสดงออกให้พนักงานที่เห็นเราเป็นเหมือนกัปตันเรือรับรู้ได้ว่า เราได้ตัดสินใจหันหัวเรืออย่างมีทิศทางนั้นเป็นเรื่องจริงจังที่ละเอียดอ่อน เกินกว่าจะใช้แค่แรงบันดาลใจมาเป็นตัวตัดสิน
ไม่ว่าวิสัยทัศน์ของบริษัทเราเขียนไว้อย่างสง่างามอย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าไม่ใช่มีเราคนเดียวที่สร้างสรรค์ บางคนอาจคิดได้เท่าเรา บางคนอาจคิดได้มากกว่าเรา ผู้ประกอบการที่ดีขณะวิ่งแข่งจะต้องเหลือบมองลู่ข้างๆ ไปด้วยเสมอ
อะไรที่ครึ่งๆ กลางๆ ย่อมไม่ประสบผลสำเร็จ หากเราไม่สามารถหาจุดร่วมระหว่างสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบริษัท (ซึ่งหมายรวมถึงพนักงานด้วย) และอะไรคือความสุขของเราได้
อะไรที่ครึ่งๆ กลางๆ ย่อมไม่ประสบผลสำเร็จ หากเราไม่สามารถหาจุดร่วมระหว่างสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบริษัท (ซึ่งหมายรวมถึงพนักงานด้วย) และอะไรคือความสุขของเราได้
หลายๆ ครั้งผู้บริหารระดับสูงเสียทั้งเวลา เงินทุน และกำลังที่มีอยู่ไปกับสิ่งที่ชื่นชอบ แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนไม่ส่งผลดีต่อบริษัทเลย โดยหลงคิดไปว่าสิ่งนั้นจะสร้างให้เกิดสิ่งดีๆ ต่อบริษัท หรืออาจคิดไปเสียว่าสิ่งนั้นไม่ได้สร้างความเสียหายแก่บริษัทเสียหน่อย
Photo courtesy of AP
อดีตหนึ่งใน CEO ของ RIM (Research In Motion) บริษัทผู้ผลิต Blackberry โดยหน้าที่ของเขานั้นคือสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งในตลาดสมาร์ทโฟน เขาลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความบกพร่องในหน้าที่ หลังจากที่ทำให้หุ้นบริษัทร่วงลงไปถึง 70% ในเวลาแค่เพียงหนึ่งปี เพราะส่วนแบ่งการตลาดของ Blackberry ในสหรัฐฯ ร่วงลงจาก 44% เหลือเพียงแค่ 9% ภายในปีเดียวหลังจากแอปเปิ้ลเปิดตัวไอโฟนในปี 2007 ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากการที่ RIM ปรับตัวเพื่อเข้ากับเกมการตลาดแบบใหม่ช้าเกินไป
ระหว่างนั้น RIM กำลังทำอะไรอยู่? คำตอบคือ Jim กำลังวุ่นวายอยู่กับการพยายามซื้อทีมฮ็อคกี้...
ความพยายามทุ่มทุนซื้อทีมฮอกกี้ของ Jim เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2006 ด้วยเงินถึง 185 ล้านเหรียญ พอมาถึงเดือนพฤษภาคมปี 2007 หลังจากที่ไอโฟนเปิดตัวมาได้สักพักแล้ว แทนที่จะรับมือกับคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างไอโฟน เขาก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับทีมฮอกกี้
ถ้าเราไม่เผลอเรอให้คุณค่ากับความสุขส่วนตัวมากจนเกินไป ชีวิตของเราก็จะยังคงมีสมดุลได้ตลอดเวลา
สุดท้ายแล้ว ปี 2010 บริษัท RIM ตื่นมาพบกับความเป็นจริงว่าแบล็คเบอร์รี่กำลังตกเป็นรองไอโฟนอยู่หลายด้าน และต้องเจอกับคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างระบบปฏิบัติการ Android ของ Google ที่มีพันธมิตรเป็นมือถืออยู่อีกหลายๆ ยี่ห้อ สุดท้าย RIM จึงตัดสินใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับธุรกิจของตัวเองบ้างด้วยการซื้อบริษัท QNX เพื่อมาเสริมทัพให้กับผลิตภันฑ์ แต่การตัดสินใจนั้นสายเกินไปแล้ว
หาก Jim ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องความชอบส่วนตัวเรื่องฮ็อคกี้ของเขาจนเกินไป ด้วยฐานลูกค้าแต่เดิมที่นำหน้าไอโฟนอยู่หลายช่วงตัว บางทีตอนนี้ทุกอย่างอาจไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้ และเช่นเดียวกันถ้าเราไม่เผลอเรอให้คุณค่ากับความสุขส่วนตัวมากจนเกินไป ชีวิตของเราก็จะยังคงมีสมดุลได้ตลอดเวลา
ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงนั้นมักจะถูกคาดหวังไว้สูงเพราะต้องเป็นตัวแทนของบริษัท ทำให้ต้องรักภาษาภาพลักษณ์เอาไว้ด้วยคำพูดเช่น เรารับมือได้ มีวิธีแก้เรื่องนี้ ทุกอย่างยังไปได้สวย ฯลฯ
ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงนั้นมักจะถูกคาดหวังไว้สูงเพราะต้องเป็นตัวแทนของบริษัท ทำให้ต้องรักภาษาภาพลักษณ์เอาไว้ด้วยคำพูดเช่น เรารับมือได้ มีวิธีแก้เรื่องนี้ ทุกอย่างยังไปได้สวย ฯลฯ
วิธีคิดเช่นนี้หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง จะทำให้คุณมั่นใจจนเกินไป ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าเข้าใจปัญหาหรือวิธีแก้หรือไม่ อย่างที่เคยเกิดกับ Carol Bartz ของ Yahoo
Photo courtesy of Reuters/AP
Bartz เชื่อเสมอว่าเธอมีวิธีจัดการปัญหาของบริษัท แม้ว่าเธอไม่เคยมีประสบการณ์ด้านธุรกิจอินเตอร์เน็ตมาก่อนเลย สื่อต่างๆ ล้วนชื่นชอบในความมั่นใจที่แสนจะแข็งกร้าวตั้งแต่การประชุมครั้งแรกของเธอ
สองเดือนหลังจากนั้น เธอได้พบกับ Jack Ma เจ้าของเว็บไซต๋ Alibaba ขณะนั้น Yahoo ถือครองหุ้นของ Alibaba อยู่ถึง 40% และคิดว่าการปลดชื่อ Alibaba ออกให้เหลือแต่เพียง Yahoo ในตลาดจีนคงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ ทว่า เธอยังไม่รู้จัก Alibaba และอินเตอร์เน็ตในประเทศจีนดีพอ ความประมาทของเธอทำให้ตัดสินใจทำสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดต่อ Jack Ma โดย Bartz ต้องการปลด Jack Ma ออกจากตำแหน่งเพื่อมอบความรับผิดชอบของ Alibaba ทั้งหมดให้กับ Yahoo China ต่อหน้าบรรดาผู้บริหาร ผลของการตัดสินใจครั้งนั้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง Bartz และ Ma ไม่มีทางเยียวยาได้
เธอถูกไล่ออกเมื่อเดือนกันยายนของปีที่ผ่านมา บรรดาบอร์ดของทาง Yahoo ได้รู้ตัวแล้วว่า พวกเขาเลือกผู้บริหารผิดคน แถมเสียเวลามาถึงสองปีกว่า โดยผลลัพธ์ที่ได้กลับมาเลวร้ายมาก
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทเรียนจากความผิดพลาดและคุณลักษณะที่ควรหลีกเลี่ยงในนักธุรกิจเท่านั้น อ่านต่อ “เรียนรู้จากนักธุรกิจที่น่าจะประสบความล้มเหลว” ตอนที่ 2 เร็วๆ นี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น