วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

รีวิว: iPhone 6 Review

รีวิว: iPhone 6 Review


www.siampod.com



ปีนี้แอปเปิ้ลเปิดตัว iPhone สองรุ่นด้วยกันได้แก่ iPhone 6 ขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว และ iPhone 6 Plus ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว ถือว่าเป็นปีที่เปลี่ยนแปลงไปมากสำหรับ iPhone ก็ว่าได้ ครั้งนี้เรามาดูมา iPhone 6 จอ 4.7 นิ้วกันก่อน
iPhone 6 ขนาดจอ 4.7 นิ้วถือเป็นการอัพเกรด ‘โทรศัพท์’ จาก iPhone 5s เปลี่ยนแปลงไปเยอะทั้งรูปร่างที่มนกว่าเดิม บางกว่าเดิม และหน้าจอขยายจาก 4 นิ้วมาเป็น 4.7 นิ้ว หน้าตาของ iPhone 6 ดูเป็นส่วนผสมระหว่าง iPod touch 5th Gen และ iPhone 5s ที่ขยายตัวเครื่องขึ้น ด้านหลังตัวเครื่องมีให้เลือก 3 สีเช่นเดิมคือสีเทาดำ, สีเงิน และสีทอง เฉดสีทั้ง 3 เมื่อเทียบกับ iPhone 5s มีสีจัดขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยอย่างเครื่องสีทองที่เราได้รับมาเมื่อเอามาเทียบกับสีทองของ iPhone 5s จะเห็นได้ว่าสีทองของ iPhone 6 จะเข้มกว่านิดหน่อย


 iphone-6-review_02

การจับถือตัวเครื่อง iPhone 6 สำหรับผมพอได้ใช้จริงจังก็รู้สึกแหละครับว่าเครื่องมีขนาดใหญ่ขึ้นพอควรแต่ยังอยู่ในวิสัยที่จับได้ถนัดมือ ถ้ามือด้วยมือขวาปุ่ม Power/Sleep ก็จะอยู่แถว ๆ นิ้วโป้งพอดี ถ้าถือมือซ้ายนิ้วชี้ก็จะวางอยู่แถว ๆ ปุ่มพอดี

iphone-6-review_06

รูปลักษณ์ตัวเครื่องผมเชื่อว่าผู้อ่านที่ตามข่าวมาตลอดแล้วก็คงไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะเป๊ะเหมือนกับสารพัดข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้ารวมถึงรูปภาพต่าง ๆ แล้วก็ยังมีเครื่องม็อคอัพที่เราได้มาก่อนหน้านี้ที่ขนาดเหมือนจริงทุกประการ พอได้ใช้งานจริง ๆ ด้านหน้าเครื่องยังคงเป็นเอกลักษณ์ของ iPhone ที่ปล่อยพื้นที่เหนือจอและล่างหน้าจอเท่า ๆ กัน ด้านบนมีเหนือหน้าจอมีกล้องถ่ายรูปความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซลและลำโพง  พื้นที่ด้านล่างหน้าจอมีเพียงแค่ปุ่ม Home ที่เป็นที่สแกนลายนิ้วมือเข้าไปด้วยเหมือนใน iPhone 5s ด้านข้างตัวเครื่องมาแนวบาง ๆ ประหนึ่งว่าจับแล้วเครื่องจะหักรึเปล่า โดยข้างเครื่องด้านซ้ายเป็นปุ่มปรับระดับเสียง ปุ่มปิดเสียง ด้านขวาเป็นปุ่ม Power/Sleep ด้านบนโล่ง ๆ ไม่มีปุ่มอะไร และสุดท้ายด้านท้ายเครื่องมีช่องเสียบหูฟังและช่องเสียบสายชาร์จ

iphone-6-review_08
iphone-6-review_07
iphone-6-review_09
iphone-6-review_04

ด้านหลังเครื่อง iPhone 6 สำหรับผมคือสวยไม่เสร็จ คือดูดีดูสวย แต่มาติดตรงการเดินเส้นขอบบนและขอบล่างที่หนามากไปทำให้ดูขัดตากลายเป็นไม่สวยไปซะอย่างงั้น (เรื่องนี้คุยกับเพื่อนทีไรก็มักจะแซวกันว่าทำ iPhone 6 ออกมาให้ดูขี้เหร่หน่อย พอ iPhone 7 ออกมาทำดูดีขึ้นจะได้พูดกันว่าสวยกว่าเดิม) ด้านหลังเครื่องก็มีกล้องถ่ายรูปความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มีช่องไมโครโฟน และไฟแฟลชที่ออกแบบใหม่ จากเดิมไฟแฟลช True Tone ใน iPhone 5s จะเป็นรูปทรงแคปซูลยา พอมาถึง iPhone 6 แอปเปิ้ลออกแบบกลับไปเป็นทรงกลมเหมือนที่ผ่าน ๆ มาก่อนหน้าจะมี iPhone 5s
การหยิบถือตัวเครื่อง ด้วยความที่เครื่องบางพอสมควรแถมตัวเครื่องกว้างขึ้นด้วย แล้วพื้นที่ด้านข้างเครื่องที่เป็นความหนาน้อยลง การจะหยิบเครื่องจากพื้นโต๊ะเรียบ ๆ ส่วนตัวผมคิดว่าจังหวะการหยิบเครื่องต้องระวังมากขึ้นกลัวทำเครื่องหล่น เทียบกันกับ iPhone 5s แล้วถอยมาถึง iPhone 3GS ที่หลังเครื่องโค้งเป็นหลังเต่าอันนี้หยิบง่ายสุดไม่ต้องระวังมาก พอมาเป็น iPhone 5/5s เครื่องบางแต่ยังมีขอบเครื่องอยู่ประมาณหนึ่งก็พอจะหยิบได้ ส่วน iPhone 6 บางลงไปอีกตอนจะหยิบเครื่องขึ้นมาจากโต๊ะเหมือต้องจิกนิ้วลงที่ข้างเครื่องนิดนึง จึงจะหยิบเครื่องขึ้นมาได้ ถามว่าเป็นปัญหาอะไรหรือไม่ตอนหยิบเครื่อง ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่แต่ต้องระวังมากขึ้น

iphone-6-review_10
iphone-6-review_11
iphone-6-review_12

ส่วนเรื่องว่าเครื่องใหญ่ขึ้นแล้วจะใส่กระเป๋ากางเกงแล้วจะติดมั้ย ใหญ่ไปรึเปล่า สำหรับ iPhone 6 คือไม่ได้ใหญ่ขึ้นแบบหม้อข้าวหม้อแกงเหมือน iPhone 6 Plus ทำให้การพกพาเครื่องอยู่ในวิสัยปกติยังสามารถใส่กระเป๋ากางเกงได้ จะติดอยู่นิดหน่อยว่าถ้าเจอกางเกงที่ส่วนถุงกระเป๋าสั้นเครื่องก็จะมีปริ่ม ๆ กับขอบกระเป๋ากางเกงเช่นกัน ซึ่งต้องระวังมากหน่อยเพราะเครื่องอาจจะไหลออกจากกระเป๋าได้
ผมลองใส่เครื่องเข้าไปในกางเกงยีนส์กับกางเกงผ้าที่กระเป๋าจะเข้าทางด้านข้างให้เห็นว่ากางเกงทั้งสองชนิดยังสามารถใส่เครื่องเข้าไปได้ โดยกางเกงยีนส์ตัวเครื่องเกือบถึงขอบกระเป๋ากางเกง ส่วนกางเกงผ้าตัวที่ผมมีกระเป๋าลึกหน่อยพอใส่เครื่องไปก็เข้าไปอยู่ลึกเหมือนกัน โดยผมจับตัวเครื่องตอนที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงให้ดูว่าเข้าไปอยู่ประมาณไหนมาให้ดูกันด้วย จุดระวังสำหรับโทรศัพท์ที่เครื่องใหญ่แบบนี้เวลาใส่กระเป๋ากางเกงจะยีนส์หรือกางเกงผ้าก็ควรจะต้องระวังเครื่องไหลและหล่นออกมาโดยที่เราไม่รู้ตัวด้วย

iphone-6-review_13
iphone-6-review_15
iphone-6-review_14

ประสิทธิภาพ

ด้านประสิทธิภาพของ iPhone 6 ตอบ ณ วันที่เขียนรีวิวในการใช้งานจริงคือเร็ว คือฉับไว แต่ทั้งหมดถ้าคุณใช้ iPhone 5s จะไม่ได้รู้สึกว่าต่างกันมากมายในเรื่องนี้ สิ่งที่แอปเปิ้ลบอกบนเวทีงานเปิดตัวว่าแรงขึ้นจาก iPhone 5s ราว ๆ 2 เท่าถ้าคุณซื้อมาใช้ทั่ว ๆ ไปไม่ได้เล่นเกมกราฟิกเยอะ ๆ ไม่ได้เห็นความต่างอะไรในส่วนนี้ ในกรณีที่คุณใช้เปิดงานเปิดเอกสาร ดูไฟล์งานต่าง ๆ พวกนี้ไม่ได้เห็นผลอะไร ประสิทธิภาพของสเป็คเครื่อง iPhone 6 จะเห็นชัดตอนที่ทำอะไรรีบ ๆ แล้วเครื่องตอบสนองได้ทันใจ กดเข้าแอปนู้นออกจากแอปนี้ไปต่อที่แอปนั้นทุกอย่างทำได้ราบลื่น

iphone-6-review_16

หน้าจอ

สำหรับหน้าจอใหญ่ขึ้นจาก 4 นิ้วใน iPhone 5s มาเป็น 4.7 นิ้วใน iPhone 6 สิ่งที่ได้เลยแน่ ๆ คือพื้นที่การใช้งานเพิ่มขึ้น เวลาดูหน้าจอก็เต็มตามากขึ้น หลัก ๆ คือในหนึ่งหน้าจอ Home Screen เราสามารถวางไอคอนแอปได้เพิ่มอีก 1 แถว ส่วนการงานในแอปดีตรงที่ใน 1 หน้าจอแสดงผลเราเห็นรายละเอียดเพิ่มขึ้น เช่น จำนวนบรรทัดของตัวหนังสือเพิ่มขึ้น เห็นรูปภาพเต็มตามากขึ้น ดูวิดีโอเต็มตาพอที่คนข้าง ๆ เวลาโหนรถไฟฟ้าจะมองเห็นหน้าจอโทรศัพท์เราได้ถนัดมากขึ้น

iphone-6-review_01

ข้อดีที่จอใหญ่ขึ้น ตัวหนังสือโดยรวมของที่อยู่บนหน้าจอ iPhone 6 ก็จะดูใหญ่ขึ้นมาอีกนิดเมื่อเทียบกับ iPhone 5s ในการตั้งค่าเหมือนกัน จากรูปเราจะเห็นได้ว่าขนาดใหญ่ขึ้นจริงแบบสังเกตได้
ความคมชัดของหน้าจอ Retina HD ของ iPhone 6 มีความละเอียด 1334×750 พิกเซล ความหนาแน่นพิกเซล 326 ppi ตัวเลขความหนาแน่น 1 ตารางนิ้วของ iPhone 6 มีจำนวนเท่ากับ iPhone 5/5c/5s ในการใช้งานจริงก็ไม่ได้รู้สึกว่าชัดมากหรือน้อยต่างกัน ตัวเลขเล็ก ๆ บริเวณไอคอนแอปนาฬิกาผมเพ่งแล้วเพ่งอีกก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเลขบนหน้าจอ iPhone 6 คมอะไรต่างไปจาก iPhone 5s
เรื่องความคมชัดของหน้าจอแสดงผลของโทรศัพท์มือถือรุ่นระดับท็อปในปัจจุบันส่วนตัวคิดว่าเรามาถึงจุดที่ไม่ต่างอะไรกันมากมายแล้ว

จอใหญ่เอื้อมนิ้วไม่ถึง แตะปุ่ม Home 2 ครั้งช่วยได้

เรื่องการใช้งานเครื่องมือเดียวสำหรับ iPhone เป็นเรื่องที่แอปเปิ้ลยึดถือมาตลอด พอมาเป็น iPhone 6 จอ 4.7 นิ้ว และ iPhone 6 Plus จอ 5.5 นิ้วมองยังไงก็ใช้งานมือเดียวไม่ได้แน่ ๆ เพราะนิ้วโป้งเอื้อมไม่ถึงถึงไอคอนแถวบนสำหรับหน้าจอ Home Screen แตะไม่ถึงเมนูต่าง ๆ ที่อยู่ด้านบน เรื่องใช้ 2 มือที่มือหนึ่งถือเครื่องมือหนึ่งก็กด ๆ จิ้ม ๆ หน้าจออันนี้ปกติสำหรับการถือเครื่องที่จอใหญ่ แต่แอปเปิ้ลก็ยังหาทางใช้พอจะใช้งานมือเดียวได้โดยเรียกฟีเจอร์นี้ว่า Reachabilityหลักการคือแตะเบา ๆ ที่ปุ่ม Home 2 ครั้งหน้าจอจะหดลงมาให้เราเอื้อมนิ้วแตะถึงไอคอนแถวบน ให้เรากดปุ่มที่ต่าง ๆ ที่อยู่ได้บนได้ง่าย ๆ ขณะถือเครื่องมือเดียว

iphone-6-review_17
iphone-6-review_18

จากที่ได้ใช้ฟังก์ชั่นนี้ขณะใช้งานมือเดียว ถ้ามือใหญ่พอเวลาเอื้อมนิ้วโป้งมาแตะที่ปุ่ม Home ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร พอเอื้อมนิ้วกดได้ แต่ถ้าเป็นคนมือเล็กการจะเอื้อมนิ้วโป้งมาแตะที่ปุ่ม Home ต้องระวังสักนิดเพราะการละนิ้วออกมาแล้วเอื้อมลงมาที่ปุ่ม Home ถ้าการจับถือเครื่องไม่ดีอยู่แล้วการเอื้อมนิ้วลงมาอาจจะทำให้เครื่องหล่นก็เป็นได้ เรื่องนี้ไม่เฉพาะคนมือเล็กอย่างเดียวมือใหญ่แบบผมก็มีบ้างเหมือนขณะนอนเล่นถือเครื่องมือเดียวจังหวะเอื้อมนิ้วเครื่องหล่นเหมือนกัน โชคดีที่เครื่องหล่นอยู่บนเตียงไม่ใช่พื้นห้อง


ถามว่าฟีเจอร์ Reachability ดีหรือไม่ คือดีครับ สะดวกดีหรือไม่ คือสะดวก แตะปุ่ม Home 2 ครั้งเลื่อนหน้าจอลงมาเพื่อให้กดปุ่มต่าง ๆ ด้านบนได้นั้นคือดีที่เราไม่ต้องถือเครื่องมือนึง ส่วนอีกมือจิ้ม ๆ แตะ ๆ หน้าจอ แต่ก็เป็นการเพิ่มขั้นตอนการแตะปุ่มต่าง ๆ เพิ่มอีก 1 ขั้นตอน เท่าที่ได้ใช้คือติดเหมือนกัน อยากให้ฟีเจอร์นี้ไปอยู่ใน iPad ด้วยน่าจะดีไม่น้อย แต่ความสะดวกทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับขณะที่คุณถือเครื่องด้วยว่าอยู่ในท่าทางที่มั่นคงหรือไม่ อ่านแบบนี้อาจจะนึกไม่ออกว่ามันจะไม่มั่นคงได้ยังไงก็โทรศัพท์อยู่ในอุ้งมือของเรา หรือเครื่องจะหลุดมือได้ยังไง ต้องได้ลองครับถึงจะทราบว่ามันมีโอกาสที่เครื่องจะหลุดจะหล่นออกมาจากมือเราได้จริง ๆ จะเอื้อมนิ้วมาแตะปุ่ม Home

แก่แล้วขอตัวหนังสือใหญ่ ๆ หน่อยได้มั้ยจะได้มองถนัด ๆ

ว่ากันตามตรง iPhone รวมถึงสมาร์ทโฟนทุกรุ่นก็ว่าได้จะโดนผู้ใช้งานระดับอายุเยอะมากหน่อยสายตายาวมากหน่อยบ่นว่าโทรศัพท์พวกนี้ทำไมตัวหนังเล็กจังไม่เหมือนโนเกียสมัยก่อนที่ตัวเลขใหญ่ ๆ เลย ซึ่ง iPhone ที่ผ่านมาก็จะโดนแซวเรื่องนี้เยอะมากหน่อยเพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจอเล็กกว่าใครเพื่อน พอมาเป็น iPhone 6 แอปเปิ้ลทำโหมดหน้าจอรองรับทั้งการใช้งานแบบปกติที่ตัวหนังสือตัวเล็ก ๆ ได้พื้นที่หน้าจอเยอะ ๆ ตามสเป็คเครื่อง กับอีกโหมดหนึ่งไอคอนใหญ่ตัวหนังสือใหญ่บึ้มมาให้ด้วยนั้นคือโหมดหน้าจอแบบ Zoom เราเข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Display & Brightness > View > Zoomed

iphone-6-review_19

ถ้าเราเลือกใช้โหมดหน้าจอแบบ Zoomed พื้นที่แสดงผลของ iPhone 6 จะมีเท่า ๆ กับ iPhone 5/5c/5s สิ่งที่ได้ตามมาเมื่อพื้นที่แสดงผลเท่ากันแต่หน้าจอใหญ่กว่าคือตัวหนังสือใหญ่ขึ้นนั้นเอง จุดนี้ในทุกแอปตัวหนังสือใหญ่มากขึ้น ตั้งแต่ใหญ่ขึ้นมากเช่นใน Messages, ใน Safari  ใหญ่ขึ้นแบบกลาง ๆ เช่นใน LINE, ใน Facebook Messenger และใหญ่ขึ้นนิดหน่อยเช่นใน Facebook, ใน Instagram


iphone-6-review_41
เปรียบเทียบขนาดตัวอักษรในโหมดหน้าจอปกติและโหมดซูมหน้าจอ

iphone-6-review_19-1
iphone-6-review_19-2

โดยแอปไหนที่ทำให้รองรับการปรับขนาดตัวหนังสือจาก iOS ก็จะเห็นผลชัดว่าตัวหนังสือใหญ่ขึ้น และสามารถปรับขยายเพิ่มเติมได้ด้วย ส่วนแอปไหนที่ไม่ได้ทำให้รองรับการปรับขนาดตัวหนังสือจากระบบ iOS เช่น LINE, Facebook, Instagram ตัวหนังสือจะใหญ่ขึ้นมาไม่มากนัก และเมื่อปรับขนาดตัวหนังสือก็ไม่ส่งผลใด ๆ ถึงแอปที่ไม่รองรับอย่างที่ยกตัวอย่างไป
แต่การใช้หน้าจอแบบขยายใหญ่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าไอคอนและตัวหนังสือต่าง ๆ บนหน้าจอไม่คมกริบเท่ากับการใช้หน้าจอแบบปกติ (Standard) คือมองออกว่าตัวหนังสือเบลอนิด ๆ
เรื่องนี้น่าจะทำให้คนสูงอายุ คนสายตายาวที่อยากใช้ iPhone แต่ติดปัญหาเรื่องตัวหนังสือเล็กจิ๋วหมดปัญหาไปได้ระดับหนึ่ง จอใหญ่ขึ้นแล้วตัวหนังสือก็ทำให้ใหญ่ขึ้นได้ด้วยน่าจะชอบกันอยู่บ้าง

กล้องถ่ายรูปและวิดีโอ

พูดถึงหน้าจอแล้วที่ตามกันมาก็น่าจะเป็นกล้องถ่ายรูป ซึ่งถ้าดูแค่จากความละเอียดกล้องของ iPhone 6 แค่ 8 ล้านพิกเซลสำหรับกล้องด้านหลัง และ 1.2 ล้านพิกเซลสำหรับกล้องด้านหน้าดูน่าผิดหวังไปสักนิดเพราะแอปเปิ้ลยืนพื้นความละเอียดนี้มาตั้งแต่ iPhone 5 แล้วไม่ขยับจำนวนพิกเซลขึ้นสักที แต่เน้นไปปรับปรุงด้านประสิทธิภาพแทน เรียกว่า 8 ล้านพิกเซลมา 3 ปีติดแต่ผลที่ได้ของภาพใน iPhone 5, iPhne 5s และ iPhone 6 ต่างกันแบบเห็นผลว่าดีขึ้นทุกปี ถ้าเรียกว่าเป็นรีดนมวัวจากเต้า แอปเปิ้ลคงรีดคงเค้นออกมาจนหยดสุดท้ายจริง ๆ

iphone-6-review_20
iphone-6-review_21

สิ่งที่ดีขึ้นในกล้องถ่ายรูปของ iPhone 6 เป็นเรื่องไวท์บาลานซ์ที่ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม การไล่โทนสีทำได้เนียนกว่าเดิม ในภาพที่มีมุมมืด ๆ ให้รายละเอียดได้สว่างขึ้นกว่า iPhone 5s เมื่อเทียบกันช็อตต่อช็อต ส่วนรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นรายละเอียดในภาพที่ทำได้คมกว่า นอยส์น้อยกว่า เป็นสิ่งที่ต้องเพ่งและสังเกตจากหน้าจอคอมพิวเตอร์จึงจะเห็นว่าภาพที่ได้จาก iPhone 6 ทำได้ดีกว่า ในการใช้งานทั่วไปที่เรามักจะ ถ่ายรูปอัพขึ้น Facebook , อัพรูปขึ้น Instagram และแทบไม่ได้เปิดดูรูปจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มาเพ่งรายละเอียดในภาพ ดูรูปอยู่แค่ในโทรศัพท์มือถือไม่ก็แท็บเล็ต ถ้าเป็นกรณีเหล่านี้ไม่เห็นว่าต่างกันเท่าไหร่

iphone-6-review_23
.
iphone-6-review_24
iphone-6-review_27
iphone-6-review_28

ภาพถ่ายกลางคืนหรือที่แสงน้อยมาก ๆ กล้อง iPhone 6 ก็เห็นได้ชัดว่าแอปเปิ้ลปรับปรุงให้ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับภาพเดียวกับจาก iPhone 5s พบว่ารายละเอียดของภาพที่ได้จาก iPhone 6 ดีขึ้น เก็บแสงได้มากขึ้น นอยซ์น้อยลงกว่าเดิมพอสมควร

iphone-6-review_22
iphone-6-review_29
iphone-6-review_30

บางภาพถ้าจังหวะการถ่ายแดดจัด  ๆ แสงดี ๆ ทั้ง iPhone 6 และ iPhone 5s ก็ให้ภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่ ยกเว้นว่านำภาพจากทั้งคู่มาเปรียบเทียบแบบขยายดูขนาด 100 เปอร์เซ็นต์ถึงจะพอบอกได้ว่าภาพไหนให้รายละเอียดที่ดีกว่า

iphone-6-review_26
iphone-6-review_25

สิ่งที่ต่างไปจากเดิมของกล้องถ่ายรูปขณะใช้งานคือกล้องใน iPhone 6 โฟกัสวัตถุไวขึ้น จุดนี้เห็นผลชัดเจนว่าไวขึ้นมากจริง ยก iPhone 6 ขึ้นมาเล็งจะถ่ายรูปเครื่องก็โฟกัสแทบจะทันทีโดยไม่ต้องรอให้เครื่องคำนวณจุดโฟกัสดังกล่าวเทียบกับ iPhone 5s แล้วถามว่าต่างกันเยอะหรือไม่ต้องบอกว่าความเร็วในการโฟกัสเร็วขึ้นกว่ากันระดับ 1 หรือ 2 วินาที ถ้าคุณไม่ได้ซีเรียสอะไรในจุดนี้ และยังพอจะใช้นิ้วแตะ ๆ ที่หน้าจาเพื่อโฟกัสวัตถุที่เราจะถ่ายรูปได้เรื่องนี้ปล่อยผ่านได้
สำหรับกล้องด้านหน้าของ iPhone 6 ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน ค่ารูรับแสงจาก F2.4 มาเป็น F2.2 หมายถึงว่ารับแสงสว่างได้มากขึ้นกว่าเดิม ช่วยให้รูปภาพจากกล้องด้านหน้าดูสว่างขึ้นนั้นเอง การจับใบหน้า (Face Detection) ก็ทำได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
สำหรับการถ่ายวิดีโอเรื่องนี้เห็นผลว่าต่างกันมาก ทั้งเรื่องความลื่นไหลของภาพ โฟกัสติดตามวัตถุขณะบันทึกวิดีโอที่ iPhone 6 ทำได้ดีกว่าจริง  ๆ เรื่องความลื่นไหลของวิดีโอที่ได้จาก iPhone 6 เทียบกับ iPhone 5s เทียบกับแบบปกติที่การบันทึก 30 fps เหมือนกัน แอปเปิ้ลปรับปรุงเรื่องกันสั่นของ iPhone 6 ใหม่ทำให้ขณะเดินถือทั้งคู่เพื่อถ่ายวิดีโอไฟล์วิดีโอพอนำมาเปิดเทียบกันจะเห็นความต่างว่าวิดีโอจาก iPhone 6 สั่นน้อยกว่ากันพอสมควร ซึ่งกันสั่นของ iPhone 6 เป็นแค่ระดับซอฟท์แวร์อย่างเดียว ไม่ได้มีฮาร์ดแวร์ OIS ช่วยกันสั่นแบบ iPhone 6 Plus
การบันทึกวิดีโอแบบ 60 fps ใน iPhone 6 สามารถเลือกปรับได้จาก Settings > Photos & Camera > Record Video at 60 FPS พอปรับเสร็จเรียบร้อยขณะถ่ายวิดีโอเราจะเห็นสัญลักษณ์ 60 FPS อยู่ที่มุมจอขณะบันทึกวิดีโอ ซึ่งการบันทึกวิดีโอแบบ 60 FPS เราจะได้วิดีโอที่ดูต่อเนื่องมากขึ้นกว่าปกติ ทั้งนี้จากที่ทดสอบวิดีโอแบบ 60 fps มีบางจังหวะสะดุดเล็กน้อยขณะที่เครื่องปรับโฟกัสอัตโนมัติ
iphone-6-review_31
ส่วนโฟกัสติดตามวัตถุแบบต่อเนื่องขณะถ่ายวิดีโอใน iPhone 6 เห็นผลและช่วยได้มากจริง ๆ ถ้าใครที่เป็นคนชอบถ่ายวิดีโอจาก iPhone สิ่งหนึ่งที่เรามักจะทำกันบ่อย ๆ คือแตะหน้าจอเพื่อให้โฟกัสวัตถุขณะถ่ายวิดีโอ ซึ่งวิดีโอที่เราได้เวลาเอามาดูจะมีจังหวะที่รู้เลยว่าแตะหน้าจอเพื่อโฟกัส พอมาเป็น iPhone 6 ที่มีการโฟกัสวัตถุแบบต่อเนื่องให้อัตโนมัติช่วยให้วิดีโอที่ออกมาดูเนียนมากลดจังหวะสะดุดเวลาเปลี่ยนตำแหน่งโฟกัสวัตถุไปได้เยอะ ยังมีบ้างที่เราต้องใช้การแตะหน้าจอช่วยโฟกัสในบางจังหวะ
ถ่ายวิดีโอแบบสโลว์โมชั่นใน iPhone 6 สามารถเลือกได้ทั้ง 120 และของใหม่ที่ 240 fps โดยการบันทึกแบบสโลว์โมชั่นจะได้วิดีโอแบบ 720p เท่านั้น ในจุดนี้เป็นส่วนเสริมสำหรับคนชอบการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านวิดีโอ และที่ผมนึกได้อีกกลุ่มอาจจะเป็นนักกีฬาบางประเภทที่อยากเห็นแอคชั่นของตนเอง เช่น นักกอล์ฟอยากเห็นวงสวิงของตนเองก็ให้เพื่อนช่วยถ่ายวิดีโอแบบ 240 fps ให้หน่อยก็จะได้เห็นวงสวิงของเราแบบช้า ๆ ทุกจังหวะตั้งแต่การขึ้นลงจนถึงจบวงสวิง เป็นต้น
iphone-6-review_32



ข้อควรระวังเกี่ยวกับการถ่ายวิดีโอคือยิ่งตั้งค่าให้ถ่ายวิดีโอที่ FPS สูงขึ้นขนาดไฟล์ก็ใหญ่มากขึ้นด้วยเป็นเงาตามตัว เรื่องนี้ถ้าผู้อ่านจะเลือกรุ่น 16GB แล้วจะเอามาถ่ายวิดีโอเยอะ ๆ หลาย ๆ แบบต้องระวังการกันว่าพื้นที่เก็บข้อมูลในเครื่องจะไม่เพียงพอ
ขนาดไฟล์วิดีโอจากค่ามาตรฐาน 30 FPS กับเราตั้งค่าให้เป็น 60 FPS ระยะเวลาประมาณ 20 วินาทีขนาดไฟล์กระโดดจากราว ๆ 40 MB ไปเป็น 70 MB เลยทีเดียว ส่วนการถ่ายภาพแบบสโลว์โมชั่น 120 FPS ขนาดไฟล์ประมาณ 80 MB (เวลา 22 วินาที) พอปรับเป็น 240 FPS (เวลา 29 วินาที) ขนาดไฟล์กลายเป็น 140 MB (ผมลองคำนวณคร่าว ๆ ว่าถ้าระยะเวลาของ 240 FPS เท่า ๆ กับที่ผมทดสอบ 120 FPS ขนาดไฟล์มีขนาดประมาณ 110 MB)

iphone-6-review_33
iphone-6-review_34

โดยรวมเรื่องกล้องถ่ายรูปของ iPhone 6 เป็นกล้อง 8 ล้านพิกเซลที่ดีขึ้นไม่มากไม่น้อยกับสิ่งที่ปรับปรุง แต่สิ่งที่เห็นผลชัดว่าสิ่งที่ปรับปรุงทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีขึ้น ประมาณว่าของเดิมใน iPhone 5s ก็ทำได้ดีแล้ว แต่กับ iPhone 6 คือดีขึ้นไปอีกก้าว
ส่วนเรื่องถ่ายวิดีโอน่าจะถูกใจคนชอบแนวนี้เพราะถ่ายวิดีโอได้ตั้งแต่ 30/60 fps และแบบสโลว์โมชั่น 120/240fps เรื่องที่อาจจะกังขานิดหน่อยคงเป็นเรื่องที่แอปเปิ้ลไม่ได้อัพเกรดให้ iPhone 6 ถ่ายวิดีโอแบบ 4K ได้ จุดนี้แล้วแต่คนมองว่าแอปเปิลกั๊กหรือเรียกว่าพอดี ๆ เพราะการบันทึกวิดีโอแบบ 4K เท่าที่ได้ลองจากโทรศัพท์ยี่ห้ออื่นจากคนรอบตัวมีปัญหาเครื่องร้อนมากขณะถ่ายวิดีโอแบบ 4K ไปสักพัก จุดนี้แอปเปิ้ลอาจจะมองว่ายังไม่ถึงเวลาก็ได้ นอกจากนั้นเรื่องการรับชมส่วนใหญ่ในปัจจุบันเราก็ไม่ได้ชมวิดีโอแบบ 4K อยู่แล้วว่าไม่จะเป็นภาพยนตร์ต่าง ๆ ที่เราดูบนจอทีวี วิดีโอต่าง ๆ ที่ดูบน YouTube ที่หลายคนไม่ได้สนว่าจะมี 4K หรือไม่ ขอแค่ดูได้ชัดบนหน้าจอกำลังชมอยู่ก็พอ สรุปเรื่อง 4K เลยต้องรอดูกันต่อไปว่าแอปเปิ้ลจะเอามาใส่ใน iPhone รุ่นไหน

NFC

สำหรับ NFC ใน iPhone 6 และ iPhone 6 Plus น่าดีใจที่มีสักที แต่น่าผิดหวังเล็กน้อยที่แอปเปิ้ลไม่เปิดให้นักพัฒนาซอฟท์แวร์อื่น ๆ ใช้งาน ปัจจุบันแอปเปิ้ลเก็บ NFC ไว้ใช้งานเองคนเดียวกับบริการจ่ายเงิน Apple Pay จะด้วยเรื่องการกั๊กไว้ใช้ก่อน หรือจะเกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัยของ NFC ก็สุดแท้แต่ไม่อาจทราบได้ เลยทำให้การที่จะใช้ iPhone 6 ไปแตะแทนบัตรกระต่ายรถไฟฟ้า BTS ฝันมลายสิ้น เรื่องนี้ต้องตามกันต่อในปีหน้าว่าแอปเปิ้ลจะเปิดให้นักพัฒนาซอฟท์แวร์เข้าถึงได้หรือไม่ เพราะกรณีนี้อาจจะเหมือนกับที่สแกนลายนิ้วมือก็เป็นได้ที่มีใน iPhone 5s ปีแรกทำให้แค่ปลดล็อค Passcode เครื่อง ผ่านมา 1 ปีใน iOS 8 ยอมให้นักพัฒนาเข้าถึงการนำที่สแกนลายนิ้วมือไปใช้ร่วมกับแอปอื่น ๆ ได้ด้วย
สรุปสำหรับ NFC ในปัจจุบันใช้งานนอกอเมริกายังไม่มีประโยชน์อะไร ต้องรอการแพร่มาถึงของ Apple Pay เสียก่อนจึงจะเห็นประโยชน์ในจุดนี้

ไม่รองรับไฟล์เพลง Hi-Res Audio

ข่าวลือที่ว่าแอปเปิ้ลจะเปิดขายไฟล์เพลงแบบ Hi-Res Audio ถูกพูดถึงอยู่ครั้งสองครั้งก่อนจะเปิดตัว iPhone 6 เลยทำให้หลายคนจับตาดูว่าตัว iPhone 6 รองรับหรือไม่ ซึ่งความจริงปรากฏออกมาแล้วว่า iPhone 6 และ iPhone 6 Plus แอปเปิ้ลยังไม่ได้ทำให้รองรับไฟล์เพลง Hi-Res Audio เรื่องนี้ถ้าเป็นคนที่อยู่ระดับยอดพีรามิดด้านการฟังเพลงด้วยเครื่องพกพาก็อาจจะผิดหวังเล็ก ๆ ส่วนคนกลุ่มใหญ่ที่ยังไม่รู้จักเลยว่าไฟล์เพลงแบบ Hi-Res Audio คืออะไรคงไม่ได้รู้สึกผิดหวัง เพราะเพลงที่ฟังก็ไฟล์ mp3 ทั่วไปหรือไฟล์ aac 256 kbps ที่ซื้อมาจาก iTunes Store แค่นั้น

เสียงจากลำโพง

สำหรับเสียงจากลำโพง iPhone 6 ดังขึ้นมากเมื่อเทียบกับ iPhone ที่ผ่าน ๆ มา เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าดังขึ้นเยอะแค่ไหน ผมใช้แอปจับความดังของเสียงทีมีให้ดาวน์โหลดอยู่ใน App Store มาใส่ใน iPhone 4s เป็นตัวรับเสียงแล้วเปิดเสียงริงโทนเดียวกันระหว่าง iPhone 6 และ iPhone 5s โดยทั้งคู่พบเร่งเสียงให้ดังที่สุด พบว่าเสียงที่ออกมาจาก iPhone 6 เสียงดังกว่า ถ้าดูจากตัวแอปจับความดังของเสียง iPhone 6 เสียงดังขึ้นราว ๆ 5-10 เดซิเบลแล้วแต่ช่วงทำนองของเสียง
**วิดีโอทดสอบเสียงจากลำโพง เสียงดังมาก อย่าลืมหรี่เสียงลำโพงลงก่อนกดดูวิดีโอ
iphone-6-review_35
iphone-6-review_36


แบตเตอรี่

เหนืออื่นใดที่ผมเห็นจากสเป็คของ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus คือชิป A8 มีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม และในขณะเดียวกันคือประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้นจากเดิม ซึ่งแบตเตอรี่ใน iPhone 6 มีปริมาณไฟเพิ่มขึ้นมาเป็น 1800 มิลลิแอมป์โดยประมาณ หรือเพิ่มขึ้นมาจากเดิมราว 20 เปอร์เซ็นต์ ว่ากันตามตรงไม่เยอะเท่าไหร่ ในการใช้งานจริงของผมเทียบกับตอนใช้งาน iPhone 5s พบว่าใช้ iPhone 6 ผมถือเครื่องไปไหนมาไหนด้วยได้ถึงกลางคืนครับ ถ้าดูจาก Battery Usage ในตัว iOS 8 พบว่าค่าเฉลี่ย Usage อยู่ที่ผมใช้คือ 10-12 ชั่วโมง ส่วน Standby ได้ 12-16 ชั่วโมง มีมากกว่านี้และน้อยกว่านี้แล้วแต่ว่าวันนั้น ๆ ผมใช้งานเครื่องเยอะแค่ไหน แต่เฉลี่ย ๆ จะอยู่ประมาณนี้

iphone-6-review_37
ถามว่าใช้งานได้ 10-12 ชั่วโมงโอเคหรือไม่ ถ้าเทียบกับ iPhone 5s คือดีขึ้นพอสมควร เพราะ iPhone 5s ออกจากบ้าน 10 โมงเช้าสักห้าโมงเย็นต้องคอยดูแล้วว่าแบตเตอรี่จะหมดหรือยัง พอเป็น iPhone 6 ลากยาวได้ถึงทุ่มสองทุ่มเดินทางถึงบ้านแล้วพอจะหมดห่วงเรื่องนี้ได้บ้าง แต่กระนั้นก็อย่าชะล่าใจเพราะถ้าเกิดว่าใช้เครื่องเยอะ เล่นเกมเยอะก็เป็นได้ที่แบตจะหมดก่อนระยะเวลาเฉลี่ยตามข้างต้นที่ผมใช้
ส่วนการชาร์จไฟจากอแดปเตอร์ 5W ที่มากับเครื่องเท่าที่ลองจับเวลาจากแบตเตอรี่ระดับ 10 ไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง

ความน่าสนใจของ iPhone 6 อยู่ที่ความเป็นโทรศัพท์ ไม่ใช่กึ่ง ๆ แท็บเล็ตเหมือน iPhone 6 Plus ระหว่างสองรุ่นนี้ถ้าอยากได้ความคล่องตัว iPhone 6 ตอบโจทย์กว่าทุกอย่างที่ iPhone 6 Plus ทำได้ใน iPhoone 6 ก็ทำได้เกือบจะเท่ากัน หลัก ๆ แล้วใน iPhone 6 ขาดแค่หน้าจอแนวนอนซึ่งก็ไม่ใช่ทุกแอปที่รองรับการใช้งานในส่วนนี้ ส่วนเรื่องกล้องที่ต่างกันนิดหน่อยตรงที่ iPhone 6 Plus มีกันสั่นแบบ OIS แน่นอนว่าดีกว่า แต่จากที่ได้ใช้ iPhone 6 คุณภาพของการกันสั่นต้องบอกว่าไม่ขี้เหร่อะไรเลย ซึ่งกันสั่นแบบ OIS จะเห็นผลมากที่สุดขณะเดินถ่ายภาพถ่ายวิดีโอ ถ้าขณะจะถ่ายภาพเราสามารถทำให้ตัวเองให้นิ่งได้ เช่นหยุดเดิน กันสั่นแบบ OIS ก็ไม่ได้จำเป็นมากนัก ส่วนถ่ายวิดีโอยอมรับว่า OIS ช่วยให้ได้ภาพที่นิ่งกว่า
สรุปสำหรับ iPhone 6 เป็นการอัพเกรดความเป็นเครื่องโทรศัพท์จาก iPhone 5s มาเป็น iPhone 6 ที่มีความเปลี่ยนแปลงรายละเอียดปลีกย่อยมากพอสมควร ตัวเครื่องแน่นอนว่าสเป็คดีขึ้นก็ตอบสนองความต้องการได้ดีมากขึ้น

จุดสังเกต

  • ประสิทธิภาพเครื่องดีขึ้นไม่มากถ้าเทียบกับ iPhone 5s แต่ถ้าคุณใช้รุ่นต่ำกว่านั้นจะเห็นผลว่าดีขึ้นมากจริง ๆ
  • กล้องถ่ายรูปดีขึ้น ช่วยให้ถ่ายรูปและวิดีโอสนุก
  • ฟีเจอร์ Reachability ขณะใช้ระวังเครื่องหลุดจากมือ
  • แบตเตอรี่ดีขึ้น
  • NFC ยังหาประโยชน์ไม่ได้เมื่อใช้งานนอกอเมริกา
  • ยังไม่รองรับไฟล์เสียงแบบ Hi-Res Audio

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น