วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เทคนิคการเรียนให้เก่ง


 เทคนิคการเรียนให้เก่ง

www.moe.go.th

พูดถึงเรื่องเรียน ใครๆ ก็อยากเก่งกันทุกคน แต่คงมีหลายคน ที่อาจจะท้อแท้กับการเรียน นักวิชาการและนักวิจัยต่างๆ ได้ทำการสำรวจและวิจัย พบว่าเทคนิคการเรียนต่างๆ จากหลายๆคนแตกต่างกันไป ก็เลยนำมาเสนอให้เพื่อนๆ ที่สนใจได้อ่านด้วย เราไปดูกันดีกว่าว่า การเรียน เก่ง เขามีเทคนิคอะไร ยังไง

จากการวิจัยและวิเคราะห์ของนักแนะแนวการศึกษาและนักจิตวิทยาหลายคนพบว่า ผู้ที่เรียนไม่ค่อยประสบความสำเร็จหรือเรียนแบบไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ได้แก่ผู้ที่มีลักษณะดังนี้


  1. เป็นคนที่มักละทิ้งงานไว้ก่อนก่อนจึงค่อยทำ เมื่อถึงนาทีสุดท้าย
  2. เสียสมาธิ หันเห ความสนใจไปจากการเรียนได้โดยง่าย
  3. เมื่อทำงานที่ยากๆ จะสูญเสียความสนใจ หรือขาดความมานะ พยายามนั่นเอง
  4. มักใช้เรื่องของการสอบ เป็นเครื่องกระตุ้นการเรียน
  5. ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีตารางการทำงานอย่าวงสม่ำเสมอ


  • ควรมีตารางเรียนและทำงานตรงตามเวลาที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ
  • ทำงานในระยะเวลาที่ไม่นานนักและควรมีการหยุดพักผ่อน
  • ไม่ปล่อยงานค้างไว้จนวินาทีสุดท้าย
  • ควรตั้งสมาธิให้แน่วแน่ ไม่เสียสมาธิง่าย
  • อย่าใช้การสอบเป็นแรงจูงใจในการอ่านหนังสือ
  • ควรอ่านหนังสือก่อนเข้าห้องเรียนตามสมควร
  • เข้าฟังการบรรยาย สัมมนาแล้วควรกลับไปอ่านทบทวน
  • พยายามอย่าละเลยวิชาที่ยากกว่าวิชาอื่นๆ
  • ควรมีความรู้ในการใช้บริการห้องสมุดด้วยเป็นดี
  • ปรับปรุงคำบรรยาย ที่จดจากห้องเรียนให้กระชับ กะทัดรัดและเข้าใจง่าย
  • พยายามทำให้การเรียนเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และสนุกสนานกับมัน
  • ควรมีแรงกระตุ้นกับมันและไม่ควรทำงานหนักเกินไปในวันหยุด
  • เมื่อพยายามปฏิบัติทุกข้ออย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้เรียนได้ดี


  • อ่านหนังสือเที่ยวนึงก่อน แล้วกลับมาอ่านซ้ำอีกที
  • ขีดเส้นใต้ใจความหลักและรายละเอียดที่สำคัญในตำรา
  • อ่านอย่างตั้งใจแล้วทำบันทึกเค้าโครงสั้นๆไว้ เพื่อประหยัดเวลาในการอ่านทบทวน
ซึ่งนักวิเคราะห์สรุปว่า วิธีที่3ค่อนข้างจะดีกว่าข้ออื่นๆแต่การทำพร้อมๆกันทั้ง 3 วิธี เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการอ่านหนังสือเลยทีเดียว

Thorndike กล่าวว่า ประสบการณ์ก่อให้เกิดความชำนาญ เขาได้ตั้งกฎแห่งการเรียนไว้ 3 อย่างซึ่งพูดถึงการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น การตอบรับ การฝึกหัดเพื่อก่อให้ เกิดประสบการณ์ และการเตรียมความพร้อมในด้านการเรียน และเขายังมี ข้อแนะนำที่จะช่วยให้การเรียนได้ผลดีและรวดเร็ว คือ

  1. พยายามสร้างความอยากที่จะเรียน (motivation)
  2. พยายามตอบสนองต่อการเรียน (reaction) อย่างต่อเนื่อง
  3. ควรมีความแน่วแน่กับการเรียน (concentration)
  4. จัดลำดับเรื่องที่จะเรียน (organization) ให้เป็นหมวดหมู่ก่อนหลัง ไม่ปะปนกัน
  5. ควรมีความเข้าใจ (comprehension) ในจุดมุ่งหมายในเนื้อหาที่เรียน
  6. มีการทบทวน (repetition) เพื่อเป็นการไม่ให้ลืม
  1. สำรวจเนื้อหาและส่วนประกอบต่างๆ ในเล่มทั้งหมด
  2. อ่านเนื้อหาทั้งหมด แล้วอ่านซ้ำเพื่อจับ
  3. ควรมีการตั้งคำถามกับตัวเองขณะอ่าน ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
  4. ขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญจากนั้นบันทึกเป็นคำพูดที่เข้าใจง่าย
  5. พยายามจับประเด็นจากคำบรรยายและจากตำราให้เข้ากัน
  6. ต้องมีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ

S :
survey
คือ การสำรวจตำราเรียนอย่างคร่าวๆ
Q :
question
คือ การตั้งคำถามทั่วๆไปเพื่อที่จะเข้าสู่เนื้อหา
R :
read
แล้วก็ต้องอ่านเพื่อจับประเด็นความคิดออกมา
R :
recall
แล้วต้องพยายามที่จะจดจำในเนื้อหาที่สำคัญๆไว้ด้วย และ R สุดท้าย
R :
review
หมั่นทบทวนอยู่เสมอเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและการนำไปใช้


นอกจากนี้ อ.ธีรพร ชัยวัชราภรณ์ ยังให้เทคนิคการจำที่น่าสนใจ ให้นำไปใช้อีกด้วย

  • อย่าจดจำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ
  • ทบทวนบันทึกหลังการเรียนมาภายใน 12 ชม.
  • ต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาทุกๆ ตอนก่อนที่จะผ่านไปและต้องทบทวนอย่างสม่ำเสมอ
  • พยายามเรียนให้มากๆ และอย่าเพิ่งหยุดในขณะที่เพิ่งเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
  • เลือกจำเฉพาะจุดที่สำคัญและรวบรวมเนื้อหาเหล่านั้นเข้าด้วยกันและมีระบบขั้นตอน
  • ทำการซ้ำหลายๆ หน เช่นท่องปากเปล่าหรือเขียนเพื่อที่จะช่วยให้จดจำได้มากขึ้น และการท่องเป็นจังหวะจะช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น
  • ฝึกสังเกต สังเกตในสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ดูผีเสื้อ หรือในการทำงาน การฝึกสังเกตจะทำให้เกิดปัญญามาก โลกทรรศน์ และวิธีคิด สติ - สมาธิ จะเข้าไปมีผลต่อการสังเกต และสิ่งที่สังเกต
  • ฝึกบันทึก เมื่อสังเกตอะไรแล้วควรฝึกบันทึก โดยจะวาดรูปหรือ บันทึกข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายวีดิโอ ละเอียดมากน้อยตามวัยและ ตามสถานการณ์การบันทึกเป็นการพัฒนาปัญญา
  • ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุม กลุ่ม เมื่อ มีการทำงานกลุ่ม เรา ไปเรียนรู้อะไรมาบันทึกอะไรมา จะนำเสนอให้เพื่อนหรือครูรู้เรื่อง ได้อย่างไร ก็ต้องฝึกการนำเสนอการนำเสนอได้ดีจึงเป็นการพัฒนา ปัญญาทั้งของผู้นำเสนอและของกลุ่ม
  • ฝึกการฟัง ถ้ารู้จักฟังคนอื่นก็จะทำให้ฉลาดขึ้น โบราณเรียกว่า เป็นพหูสูตบางคนไม่ได้ยินคนอื่นพูด เพราะหมกมุ่นอยู่ในความคิด ของตัวเองหรือมีความฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องอื่นเข้าไม่ได้ ฉันทะ สติ สมาธิ จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น
  • ฝึกปุจฉา - วิสัชนา เมื่อมีการนำเสนอและการฟังแล้ว ฝึกปุจฉา - วิสัชนา หรือถาม - ตอบ ซึ่งเป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำ ให้เกิดความแจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ ถ้าเราฟังครูโดยไม่ถาม - ตอบ ก็ จะไม่แจ่มแจ้ง
  • ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม เวลาเรียนรู้อะไรไปแล้ว เรา ต้องสามารถตั้งคำถามได้ว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นเกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์ ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนั้น และมีการ ฝึกการตั้งคำถาม ถ้ากลุ่มช่วยกันคิดคำถามที่มีคุณค่าและมีความ สำคัญ ก็จะอยากได้คำตอบ
  • ฝึกการค้นหาคำตอบ เมื่อมีคำถามแล้วก็ควรไปค้นหาคำตอบ จากหนังสือ จากตำรา จากอินเตอร์เน็ต หรือไปคุยกับคนเฒ่าคน แก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคำถาม การค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ สำคัญจะสนุกและทำ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น